ตลาด forex เป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นักเทรด forex จึงควรหมั่นฝึกฝนการวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่สม่ำเสมอ เพื่อจับทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาด forex ให้ได้มากที่สุด การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นกระบวนการในการคาดการณ์ตลาดล่วงหน้าโดยศึกษาจากข้อมูลในอดีต ผ่านกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ต่างๆ เพื่อให้ท่านสามารถวางแผนเส้นทางการเทรดอย่างประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น
อินดิเคเตอร์ทั้งหลายบน MT4 จะช่วยให้เราคาดการณ์ท่าทีของตลาดในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นแรงซื้อขายหรือทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา ในช่วงเวลาต่างๆ บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่เหล่าเทรดเดอร์นักวิเคราะห์ใช้กันอย่างแพร่หลาย ไปจนถึงการใช้อินดิเคเตอร์เหล่านี้เป็นกลยุทธ์ในการเทรด forex
อินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดบน MT4 มี 3 หน้าที่หลัก ดังนี้: เพื่อแจ้งเตือน (หรือบอกสัญญาณการเทรดที่อาจเกิดขึ้น), เพื่อยืนยัน (แนวโน้มหรือการจังหวะการเข้า-ออก) และเพื่อคาดการณ์ (การวางแผนเป้าหมายหรือจุดตัดขาดทุนล่วงหน้า) พูดง่ายๆ ก็คือ อินดิเคเตอร์เหล่านี้กำลังบอกทิศทางราคากับเรานั่นเองครับ ดังนั้น เราควรทำความเข้าใจอินดิเคเตอร์ต่างๆ เอาไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดจังหวะสำคัญของการเทรด โดยวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดก็คือ การทำความรู้จักกับประเภทของอินดิเคเตอร์หรือตัวชี้วัด ทั้ง 2 ประเภท ซึ่งได้แก่ ตัวชี้วัดนำ และตัวชี้วัดตาม ดังนี้
ตัวชี้วัดนำ (Leading Indicator) หรือที่รู้จักกันในนาม Momentum Oscillator ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ทำนายทิศทางราคา ประโยชน์จากการใช้อินดิเคเตอร์นี้คือการหาจังหวะในการเข้าและออก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น อินดิเคเตอร์เหล่านี้จะช่วยบ่งบอกภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold) ในจังหวะขาขึ้นและขาลงตามลำดับ
Commodity Channel Index (CCI): คือ ตัวชี้วัดนำที่บอกสัญญาณความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และจุดเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้จากแนวโน้มต่างๆ CCI สามารถบอกรอบการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ อีกทั้งยังสามารถบอกการเคลื่อนไหวของราคาได้เช่นกัน ระดับทั่วไปของ CCI อยู่ระหว่าง -100 และ +100 โดยระดับ CCI 100+ บ่งบอกข้อมูลในทางตรงกันข้ามกับ CCI -100
จากกราฟด้านบนจะเห็นได้ว่า CCI ที่ระดับต่ำกว่า 100 ทำให้เกิดการย่อตัวของราคา USDJPY ใน H4 ในขณะเดียวกัน CCI ตั้งแต่ระดับ -100 ส่งเสริมให้ USD/JPY พุ่งตัวขึ้นอีกครั้ง
Relative Strength Index (RSI): RSI เป็นสัญญาณบ่งบอกความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ที่เทรดด้วยโมเมนตัม โดย RSI ที่ระดับเหนือกว่า 70 เป็นการบอกภาวะ "ซื้อมากเกินไป" (overbought) และที่ระดับต่ำกว่า 30 บ่งบอกภาวะ "ขายมากเกินไป" (oversold)
Stochastic Oscillator (STO): STO เป็นเครื่องมือโมเมนตัมชนิดหนึ่ง ที่ใช้บ่งบอกการแกว่งตัวของราคา เพื่อหาจุดสูงสุดและต่ำสุดในการแกว่งตัวปัจจุบัน STO ยังสามารถบอกภาวะ overbought และ oversold ได้อีกด้วย โดยสัญญาณ %K > 80 เป็นการบอกภาวะ overbought ซึ่งหมายถึงราคากำลังจะลดลง และ %K < 20 บอกภาวะ oversold หมายถึงราคากำลังจะเพิ่มขึ้น และเมื่อเส้น %K ตัดกับเส้น %D ก็เป็นการบ่งบอกว่าราคากำลังจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ตัวชี้วัดตาม (Lagging indicator) เป็นอินดิเคเตอร์ที่บ่งบอกสัญญาณหลังแนวโน้มใหม่ได้เกิดขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอินดิเคเตอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามแนวโน้มนั่นเอง โดยจะส่งสัญญาณเมื่อมีการกลับตัวของราคาเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม อินดิเคเตอร์ชนิดนี้จะทำงานได้ดีมากๆ เมื่อใช้ศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาในแนวโน้มระยะยาว มันไม่ได้ใช้เพื่อบอกการเปลี่ยนแปลงของราคาที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เป็นการบ่งบอกภาวะราคาที่กำลังเป็นอยู่ ไม่ว่าจะกำลังขึ้นหรือลง ตัวชี้วัดตามแนวโน้มเหล่านี้มีข้อเสียหลักๆ คือ มักจะทำให้จังหวะการซื้อหรือขายของท่านช้าเกินไป อย่างไรก็ตาม แม้จะทำให้ท่านพลาดโอกาสที่ควรบ้างบางครั้ง แต่อินดิเคเตอร์ชนิดนี้ก็ช่วยให้ท่านลดความเสี่ยงด้วยการบอกสถานะของตลาดที่แท้จริง ทำให้ท่านเลือกตำแหน่งในตลาดได้ถูกฝั่ง ตัวชี้วัดตามที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ MACD และ Momentum นั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นตัวชี้วัดตามที่ดีที่สุดบน MT4 ปี 2018 เลยก็ว่าได้
Moving Averages Convergence and Divergence (MACD): ในขณะที่ Moving Average และ Relative Strength Index เป็นตัวชี้วัดตามที่ขึ้นอยู่กับข้อมูลในอดีตเพียงอย่างเดียว MACD เป็นการผสมผสานระหว่างตัวชี้วัดนำและตัวชี้วัดตาม ทำให้มีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากยิ่งขึ้น MACD เป็นอินดิเคเตอร์โมเมนตัมที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของโมเมนตัมหรือแรงส่งของราคานั่นเอง ไม่ว่าแนวโน้มปัจจุบันทั้งขาขึ้นและขาลง จะแข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแรงลงก็ตาม MACD ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ Histogtam ซึ่งเป็นกราฟแท่งที่แสดงความแตกต่างระหว่าง EMA 2 เส้น ใน 2 ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน และ signal line ซึ่งเป็น SMA ของ MACD ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
Momentum: ท่านสามารถใช้งานโมเมนตัม บน MT4 ได้ฟรี! โมเมนตัม เป็นอินดิเคเตอร์ที่แสดงความแตกต่างระหว่างราคาปิดในวันปัจจุบันและราคาปิดในวันอื่นๆ ก่อนหน้า พูดง่ายๆ เพื่อใช้บ่งบอกแนวโน้มปัจจุบันเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของราคาในวันที่ผ่านๆ มา สังเกตได้จากหน้าต่างอินดิเคเตอร์ด้านล่าง เมื่อโมเมนตัมอยู่จุดต่ำสุดแล้วกลับตัวพุ่งสูงขึ้น เป็นสัญญาณการเข้าซื้อ แต่เมื่ออินดิเคเตอร์อยู่จุดสูงสุดแล้วเริ่มกลับตัวลงมาด้านล่าง เป็นสัญญาณการขาย เมื่อเกิดจุดพีคของตลาด โมเมนตัมจะพุ่งตัวสูงขึ้นแล้วกลับตัวลงมาเพื่อเปลี่ยนทิศทางออกจากราคาขาขึ้นหรือ sideway ในทางตรงกันข้าม เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง โมเมนตัมจะตกฮวบลงอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งสูงขึ้น บ่อยครั้งที่โมเมนตัมมักจะกลับตัวก่อนราคา เนื่องจากเหตุการณ์ทั้ง 2 ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นผลให้เกิดความผันแปรระหว่างอินดิเคเตอร์และราคา
หลังจากที่ท่านทำความเข้าใจอินดิเคเตอร์นำและตามทั้งหลายแล้ว ถึงเวลาทำความรู้จัก "Moving Average" ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์พื้นฐานทางเทคนิคที่ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นทุกคนจะต้องรู้จัก เส้น MA หลายตัวถือเป็นตัวบอกสัญญาณที่ดีที่สุดบน MT4 เส้น MA ใช้บอกค่าเฉลี่ยของราคาปิดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่โต้เถียงกันว่า MA เป็นตัวชี้วัดนำหรือตัวชี้วัดตามกันแน่? เนื่องจาก MA ไม่สามารถบ่งบอกแนวโน้มในอนาคตได้ ทำให้คนส่วนมากลงความเห็นว่ามันคือ "ตัวชี้วัดตาม" อย่างไรก็ตาม MA มีหลายชนิด ทำงานแตกต่างกันออกไป ได้แก่ Simple, Exponential, Smoothed และ Weighted Moving Average
1. Simple Moving Average (SMA): SMA เป็นค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง คำนวณโดยการนำผลรวมของราคาหุ้นย้อนหลัง (ราคาปิด, จุดสูงสุด, จุดต่ำสุด) หารด้วยช่วงเวลาหรือจำนวนวันที่ต้องการ แม้ดูเหมือนว่าจะสามารถวางแผนคำนวณได้ง่าย แต่ก็อาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้มากเช่นกัน
2. Exponential Moving Average (EMA): ประโยชน์ของ EMA มีจำกัด เพราะกลุ่มข้อมูลราคาทั้งหมดจะถูกถ่วงน้ำหนักเดียวกัน ไม่ผันตามลำดับเวลา ข้อมูลที่ใหม่กว่ามีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์มากกว่าข้อมูลเก่า การใช้ EMA จึงให้ความสำคัญกับราคาช่วงหลังๆ มากกว่าราคาในช่วงแรก เพื่อให้ EMA แกว่งตัวตามข้อมูลปัจจุบัน
3. Smoothed Moving Average (SMMA): ในขณะที่ EMA ก่อให้เกิดสัญญาณรบกวนซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว SMMA เป็นการผสมผสานระหว่าง SMA และ EMA ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตรคำนวณต่อไปนี้:
SMMA = (SUM1 – SMMA1+CLOSE)/ N
SUM1 – ยอดรวมของราคาปิด สำหรับช่วงเวลา N
SMMA1 – SMA ของกราฟแท่งแรก
SMMA – SMA ของกราฟแท่งปัจจุบัน (ยกเว้นอันแรกสุด)
CLOSE – ราคาปิดปัจจุบัน
N – จำนวนเวลาที่ใช้คำนวณ
4. Linear Regressed Moving Average (LMA): แม้ว่า SMMA จะให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่า SMA และ EMA แต่การให้ค่าผลลัพธ์ย้อนหลังทำให้ SMMA ไม่เป็นที่นิยมสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเท่าไหร่นัก LMA เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดบน MT4 ซึ่งให้น้ำหนักกับความเคลื่อนไหวของราคาปัจจุบันมากกว่า ทำให้การรบกวนของปัจจัยตามนั้นหายไป ในกรณีนี้ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกคำนวณด้วยจำนวนวันทั้งหมดที่ต้องการศึกษา แม้ว่า LMA จะวางแผนคำนวณได้ยาก แต่มันก็มีประโยชน์มากๆ ต่อการเทรดแบบสวนแนวโน้ม
การวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นขั้นตอนพื้นฐานและก้าวแรกของการเทรดที่จะนำพาท่านไปสู่เส้นชัยได้ในที่สุด การศึกษาทำความเข้าใจอินดิเคเตอร์ต่างๆ อย่างถูกต้องจะทำให้ท่านสามารถหาโอกาสและจังหวะในการเทรดได้อย่างแม่นยำ วิธีที่ดีที่สุดคือการฝึกฝนทักษะการเทรดแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย บัญชีเดโม่ จาก MTrading และพัฒนาฝีมือเทรดของท่านด้วยอินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดบน MetaTrader
อย่าพลาด! บทเรียนการเทรด ดีๆ จากเรา อัปเดทความรู้ในการเทรดของท่านให้พร้อมเผชิญกับการเทรดทุกรูปแบบ
- อินดิเคเตอร์ Forex ที่ดีที่สุด
- 6 วิธีเบื้องต้นในการบริหารเงินทุน
- วิธีหาจังหวะการเข้าเทรด Forex
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน