ความผันผวน (Volatility) เป็นเครื่องมือในการวัดผลตอบแทนหรือความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในกรอบเวลาต่างๆ ในขณะเดียวกัน ความผันผวนของตลาดก็อาจมาพร้อมความเสี่ยงได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากทำกำไรตามกรอบความเคลื่อนไหวของหุ้นที่วิ่งแตะระดับสูงสุดหรือต่ำสุด หรืออาศัยความผันผวนของตลาดนั่นเอง
ความผันผวนถือเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับตลาดหุ้นและพันธบัตร อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่มากเกินไปก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน ทำให้เทรดเดอร์มืออาชีพส่วนใหญ่มักพิจารณาความเสี่ยงก่อนตัดสินใจเทรดและการกระจายพอร์ตการลงทุนตามความเหมาะสม
ในบทความวันนี้ เราจะมาอธิบายข้อแตกต่างระหว่างความผันผวนของตลาดหุ้นและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเทรดหุ้น เมื่อราคาวิ่งขึ้นหรือลงโดยที่นักเทรดไม่สามารถเคาเดาได้
นักลงทุนจะใช้ความผันผวนของตลาดเพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ นักลงทุนจะต้องตระหนักถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน เนื่องจากจะเป็นตัวบอกระดับความเสี่ยงที่ท่านกำลังจะเผชิญ
การศึกษาความผันผวนในตลาดก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญในการเทรดหุ้น แต่ความผันผวนไม่มีผลมากต่อการลงทุนในระยะยาว เพราะจะใช้สำหรับการเทรดในระยะสั้นๆ มากกว่า ดังนั้น นักเทรดที่ตั้งใจจะปั้นพอร์ตยาวๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนมากนัก
อย่างไรก็ตาม ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผันผวนได้ เนื่องจากความผันผวนมักเกิดขึ้นในตลาดเสมอ สิ่งเดียวที่ท่านสามารถทำได้คือหลีกเลี่ยงการซื้อตราสารที่มีความผันผวนสูงกว่าเมื่อเทียบกับตราสารอื่นๆ ในตลาด
ตามคำจำกัดความที่กำหนดโดย ก.ล.ต. ความเสี่ยงหมายถึงระดับความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน พูดง่ายๆ ก็คือ นักลงทุนไม่รู้ว่าการตัดสินใจทางการเงินครั้งต่อไปจะมีผลกระทบอย่างไร ในเชิงของหุ้น หมายความว่าเทรดเดอร์มีแนวโน้มที่จะซื้อสินทรัพย์ที่ออกโดยบริษัทที่มีชื่อเสียง มากกว่าที่จะเป็นสตาร์ทอัพที่มีความเสี่ยงมากกว่า
ในขณะเดียวกัน การลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าโอกาสที่สินทรัพย์จะสูญเสียมูลค่าก็มีมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พันธบัตรที่ออกโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีความเสี่ยงในการลงทุนที่ต่ำกว่า ในขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าแม้จะมองในระยะยาว
สรุปแล้ว จะมองว่าเป็นความผันผวนหรือความเสี่ยงนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเทรดและสไตล์การเทรดของท่าน ท่านจะต้องตัดสินใจว่าจะรับความเสี่ยงโดยคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นหรือรักษาความเสี่ยงให้อยู่ในระดับต่ำๆ แต่สร้างผลตอบแทนที่น้อยแต่มั่นคง
ความผันผวนและความเสี่ยงเป็นสองปัจจัยหลักที่นักเทรดควรให้ความสนใจทุกครั้งที่ตัดสินใจลงทุน เพื่อใช้ตัวชี้วัดตลาดและช่วยให้นักลงทุนกำหนดระดับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
นักเทรดที่มีประสบการณ์อาจใช้วิธีการ "Beta" มาช่วยในการวัดระดับความผันผวนของหุ้น โดยมีเงื่อนไขหลัก 3 ข้อ ดังนี้:
หากสินทรัพย์มีความผันผวนมากกว่าตลาด (Beta สูง) หมายความว่าความเสี่ยงในการลงทุนนั้นสูงขึ้นแต่หากหุ้นมี Beta ต่ำกว่าตลาดก็จะมีเสถียรภาพมากกว่าและปราศจากความเสี่ยงแม้ว่าจะมีผลตอบแทนต่ำกว่าก็ตาม
ความผันผวนไม่ควรเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ท่านตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นต่างๆ โดยนักลงทุนควรใช้การตัดสินใจอย่างมีการศึกษาและรอบคอบโดยคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมด้วย
หากต้องการปรับสมดุลความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอของท่าน ท่านจะต้องพิจารณาหุ้นที่มีกรอบเวลาที่ยาวกว่า สำหรับการลงทุนในระยะยาว เช่น หากท่านวางแผนที่จะขายใน 10 ปีหลังหรือใช้เป็นแผนเกษียณอายุของท่าน แต่หากต้องการผลตอบแทนรวดเร็ว เช่น ในปีหน้า การรอให้ตลาดฟื้นตัวหลังเผชิญวิกฤตอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
จะมองว่าเป็นความเสี่ยงหรือความผันผวนก็แล้วแต่รูปแบบการเทรดของนักเทรด และขึ้นอยู่กับอัตราความเสี่ยงที่ท่านสามารถยอมรับได้ ยิ่งมีสินทรัพย์ที่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ (พอร์ตการลงทุนของท่านก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น) ท่านก็จะต้องรับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน