หุ้นในตลาดแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มและมีความน่าสนใจแตกต่างกัน โดยกลุ่มหุ้นมาตรฐานถูกกำหนดโดย GICS ซึ่งแบ่งออกเป็น 11 กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตามความต้องการ
นักเทรดมักแบ่งหลักทรัพย์ออกเป็นกลุ่มต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ จากอุตสาหกรรมเดียวกัน อีกทั้งยังเพื่อให้ง่ายในการเลือกสินทรัพย์ที่น่าลงทุนมากที่สุดและสามารถกำหนดได้ว่าตราสารใดมีแนวโน้มที่จะทำกำไรให้กับคุณมากที่สุด ทำให้ท่านตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมว่าจะลงทุนในกลุ่มไหนดี
ในบทความวันนี้ เราจะมาแนะนำกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตมากที่สุดโดยพิจารณาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
เมื่อจำแนกตลาดหุ้นตามอุตสาหกรรม ภาคพลังงานเป็นสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง โดยเกี่ยวข้องกับบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เอทานอล และทรัพยากรอื่นๆ นอกจากนี้ ภาคหุ้นเฉพาะนี้ครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติเช่นกัน
ข้อดีหลักๆ ของภาคพลังงานคือท่านสามารถเลือกบริษัทต่างๆ ที่ไม่เพียงแต่สำรวจหรือผลิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบริษัทที่พัฒนาอุปกรณ์และวัสดุอีกด้วย นอกจากนี้ ท่านควรจับตาดูบริษัทที่ทำธุรกิจด้วย ด้วยแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่เป็นกระแสหลักของโลกในปัจจุบัน
ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มพลังงาน: ExxonMobil (NYSE:XOM) and Chevron (NYSE:CVX)
หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องยากในการเลือกกลุ่มหุ้นเนื่องจากมีหลายกลุ่มให้เลือก แต่ภาควัสดุก็ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ยอดเยี่ยมในการลงทุน
กลุ่มนี้จะเกี่ยวกับบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ในด้านการผลิต โดย "วัสดุ" ที่ว่านี้หมายถึงวัสดุสิ้นเปลืองที่ผู้ผลิตเคมี บริษัทก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์และการผลิตภาชนะมักต้องการใช้
ในหุ้นกลุ่มนี้ ส่วนมากจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ออกหุ้นขนาดเล็ก มาจากบริษัทที่เชี่ยวชาญในการผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานวัสดุ: ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sherwin-Williams (NYSE:SHW) และกลุ่มเคมีภัณฑ์อย่าง DuPont (NYSE:DD)
ภาค IT หรือเทคโนโลยีสารสนเทศกำลังเติบโตดีมากๆ ในปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการซอฟต์แวร์และแอปดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นทุกวันนั่นเอง เราจึงแนะนำให้นักเทรดมองหาหุ้นที่ออกโดยผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ทีมพัฒนาแบรนด์ และผู้ผลิตอุปกรณ์ก็เป็นการตัดสินใจที่ดีเช่นกัน
เครื่องใช้ในบ้านที่สมาร์ท (Smart home), แพลตฟอร์ม IoT, บริการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์, แพลตฟอร์ม SaaS และบริษัทอื่นๆ อีกมากมายจะต้องได้รับความสนใจอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยไม่เพียงแค่จับตาดูผู้ให้บริการทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรที่เกี่ยวข้องกับส่วนประกอบในอาคาร อุปกรณ์ ชิปเซ็ต ฮาร์ดแวร์ และผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีอื่นๆ อีกด้วย
ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม IT: Apple (NASDAQ:AAPL) และ Microsoft (NASDAQ:MSFT) – สำหรับการลงทุนในระยะยาว
ภาคอุตสาหกรรมหมายถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเครื่องจักรกลต่างๆ รวมถึงหุ้นที่ออกโดยบริษัทขนส่ง การรถไฟ สายการบิน และบริษัทขนส่ง ซึ่งเป็นตัวเลือกอันดับ 1 สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่แสวงหารายได้ที่มั่นคง
นอกจากนี้ นักเทรดอาจลองศึกษษสาขาอื่นๆ ของภาคอุตสาหกรรม เช่น วิศวกรรม การบินและอวกาศ การป้องกันประเทศ และอื่นๆ สาขานี้ยังครอบคลุมเฉพาะด้านต่างๆ เช่น การผลิตเครื่องจักร การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับอาคาร และอีกมากมาย
ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม: Boeing (NYSE:BA) และ Union Pacific (NYSE:UNP) เป็นหุ้นยักษ์ใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสหรัฐ
หุ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ มีสองตัวเลือกให้นักเทรดตัดสินใจ ดังนี้:
ทางที่ดีคือการมองหาหุ้นของห้างสรรพสินค้า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และผู้ให้บริการการสื่อสารเคลื่อนที่ เป็นต้น
ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์: American Tower (NYSE:AMT) และ Simon Property Group (NYSE:SPG)
การมองหาหุ้มเริ่มต้นง่ายๆ จากการเลือกตาม Sector หรือกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ แล้วเลือกหุ้นเด่นๆ ในแต่ละกลุ่ม หรือลองเปรียบเทียบหุ้นของบริษัทต่างๆ ในแต่ละ Sector ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรถูกพิจารณาว่ามีคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านการลงทุน รวมถึงข้อเสนอหรือการชักชวนในการทำธุรกรรมใดๆ ในตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ นักลงทุนควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน